Facebook Ads Mattery T-Day Challenge วันแรก

ตอนนี้ทุกคนได้ยินเสียงชัดเจนแล้วนะครับ ก็ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ “Facebook Ads Mattery T-Day Challenge” ในวันแรกนี้เลย ซึ่งตลอด 3 วันนี้ เราจะมาเปลี่ยนแปลงทุกท่านจากการแก้แอดรายวัน ให้กลายเป็นการปรับแอดรายสัปดาห์ที่สามารถสร้างยอดขายให้พุ่งทะยาน

ในวันนี้ ผมมีเคสตัวอย่างจากธุรกิจ E-commerce จริงๆ ที่ทำมาแล้วก่อนเปิดคอร์สประมาณ 3 สัปดาห์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า หากทำตามหลักการแล้ว จะเกิดการเติบโตขึ้นอย่างไร ผมจะมอบหมายการบ้านให้ในระหว่างคอร์สด้วย โดยผมเองจะเป็นผู้ตรวจให้ทุกท่านเอง

ภาพรวมเนื้อหาตลอด 3 วันของ Facebook Ads Mattery T-Day Challenge

ในวันแรก เราจะมาเรียนรู้เรื่องของ: – ทำไมต้องติดกับการแก้แอดรายวัน และวิธีแก้ปัญหานี้ – สาเหตุที่ทำให้ยอดขายติดขัด แคมเปญมีปัญหา และไม่สามารถสเกลได้ – การวางแผนและกำหนดทิศทางการสื่อสารโฆษณา ด้วยเทคนิค 5 Stage of Awareness

ต่อมาในวันที่ 2 เราจะเรียนรู้เรื่อง: – การใช้หลัก 5W (What, Why, Emotional, Functional, Why Not) ในการสร้างสรรค์โฆษณา – การตั้งค่าแคมเปญและจัดการโฆษณาอย่างถูกต้อง – การใช้ Conversion แบบเว็บไซต์และข้อความธุรกิจ พร้อมแนะนำเครื่องมือติดตามวัดผล

และในวันสุดท้าย เราจะเรียนรู้เรื่อง: – การติดตามรีพอร์ตและ Metric ที่สำคัญ – การกำหนด KPI ที่เหมาะสมเพื่อสร้างยอดขายและกำไรให้เติบโต – การประยุกต์ใช้ระบบคุมแอดอัตโนมัติ ที่ผมใช้มากว่า 3 ปี – การบริหารและปรับปรุงแคมเปญให้ได้ผลดีที่สุด

โดยในวันแรกนี้ ผมจะเปิดเผยผลลัพธ์ให้ดูก่อนเลยว่า เมื่อทำตามวิธีในหลักสูตรแล้ว มันให้ผลอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจและจุดประกายให้ทุกท่าน อยากเรียนรู้และลองทำวิธีใหม่ๆ ดู ซึ่งผมเรียกว่าเป็น Challenge เพราะมันต้องอาศัยความทุ่มเทพยายามในการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและทำงานแบบเดิมๆ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อจบ 3 วันนี้แล้ว ทุกคนจะพร้อมลุยสร้างยอดขายอย่างเต็มที่แน่นอน อย่าลืมนำความรู้ไปลงมือทำจริงหลังจบคอร์สด้วยนะครับ


ปัญหาของการเฝ้าแก้แอดรายวัน

ผมอยากถามหน่อยครับว่า ใครพบปัญหาที่ต้องคอยเฝ้าแก้แอดอยู่ทุกวัน จนต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการวนเวียนอยู่กับหน้า Ads Manager บ้าง ถ้าเจอแบบนี้ พิมพ์ 1 หรือคำว่า “เฝ้า” มาในคอมเมนต์ให้ผมหน่อยนะครับ

ปัญหานี้แหละครับ ที่ทำให้เราติดอยู่กับการเฝ้าแก้แอดรายวัน จนไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หรือปรับปรุงธุรกิจของเรา รวมถึงการวางแผนสื่อต่างๆด้วย

ที่เป็นแบบนี้เพราะเรามีเรื่องต้องดูแลมากมาย ไม่ว่าจะต้อง:

  • เช็คข้อมูล รีพอร์ต เพื่อแก้แอดให้ได้ผลดี เช่น เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เปิดปิดแอด ปรับงบประมาณ
  • เทสต์สื่อโฆษณาแบบ A/B เพื่อหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
  • ตามเช็คนโยบายแอดว่าโดนปิด โดนรีเจ็คหรือเปล่า ทำการลบแก้ไขทันที
  • ปรับแอดตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือตามคู่แข่งที่เข้ามา

การเฝ้าแก้แอดแบบนี้ แม้จะทำให้ ROI (Return on Investment) หรือผลตอบแทนจากการลงทุนแอดสูงขึ้นก็จริง แต่มันทำให้เราไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น ที่สำคัญกว่าเลย เช่น การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ปรับกลยุทธ์ หรือหาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างยอดขาย สุดท้ายก็วนกลับไปสู่ปัญหาเดิมคือยอดขายติดหล่ม ไม่เติบโต

ผมอยากแนะนำว่าทางออกของปัญหานี้ คือการใช้ระบบอัตโนมัติอย่าง “Magic Egg” เข้ามาช่วยจัดการแอด จะได้มีเวลาไปทำสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญกว่า เช่น การวางแผนปรับกลยุทธ์ หากลุ่มเป้าหมายใหม่ การทดสอบและเรียนรู้ หรือการปรับปรุงข้อมูลให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเรามีเวลา ก็จะทำให้การศึกษาและวางแผนโฆษณาตรงตามกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น ไม่ใช่ใช้หนึ่งโฆษณายิงหาทุกเพศ ทุกวัย แบบที่ผ่านมา การทำตามหลักการต่างๆจะทำได้อย่างครบถ้วนและได้ผลต่อเนื่อง

เพียงแค่สัปดาห์แรก หากเราปล่อยให้ระบบอัตโนมัติอย่าง Magic Egg ดูแลการปรับแอด เราก็จะได้เวลาไปทำสิ่งสำคัญอื่นๆ ที่จะช่วยให้สเกลยอดขายได้จริงๆ แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ เราต้องมีเวลากลับคืนมา จากการไม่ต้องเฝ้าแอดทุกวันเท่านั้น


การใช้ระบบอัตโนมัติในการบริหารแคมเปญโฆษณา

สำหรับผู้ที่ใช้ระบบคุมแอดอัตโนมัติมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Magic Egg, Revive Social หรือระบบอื่นๆ ช่วยพิมพ์บอกกันหน่อยนะครับว่าเคยใช้ เพื่อเป็นประสบการณ์แชร์กันครับ

ระบบเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์โฆษณาได้รวดเร็ว และไม่ต้องเฝ้าแอด 24 ชั่วโมง ยกตัวอย่างจากบัญชีโฆษณาที่เพิ่งเริ่มยิงไปเมื่อวันที่ 21-27 ม.ค. ในช่วงแรก ยอดขายได้แค่ประมาณ 14,000 บาท

แต่เมื่อปรับแก้ด้วยระบบแล้ว สัปดาห์ถัดมา 28 ม.ค. – 3 ก.พ. ยอดขายพุ่งขึ้นเป็น 84,000 บาท โดยใช้งบไป 10,000 กับ ROAS ที่ 7 เท่า และสัปดาห์ล่าสุด 4-10 ก.พ. ยอดขายทะลุ 200,000 โดยใช้งบ 416,000 และ ROAS ยังอยู่ที่ 4 เท่า

หากยังไม่จบสัปดาห์นี้ ก็มีแนวโน้มจะทำยอดได้ถึง 300,000 บาทเลยทีเดียว จะเห็นว่าเพียงแค่ 3 สัปดาห์ เทียบกับตอนแรกที่ทำได้แค่ 14,000 มันต่างกันมาก เพราะเรามีเครื่องมือมาช่วยให้ปรับแก้ได้ตลอดเวลา

นอกจากคุมแอดแล้ว ระบบยังช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน เช่นดูจากกราฟ ตอนแรก ROAS สูงแต่ยอดขายต่ำ พอปรับจนถึงจุดหนึ่งแล้ว แม้ ROAS จะลดลงแต่ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะรักษา ROAS ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ทำกำไรได้ และลงทุนเพิ่มเพื่อดันยอดขาย

หรือจะดูจาก CPM ที่เพิ่มขึ้นจาก 70-80 มาเป็น 100 บาท บ่งบอกถึงการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงกราฟ Thumb Stop Ratio ที่จะบอกว่าผู้ชมกี่เปอร์เซ็นต์หยุดดูวิดีโอโฆษณาของเรา ถ้าปล่อยให้ตกต่ำ เช่นจาก 50% เหลือแค่ 20% (คือมีคนหยุดดูแค่ 20 คนจากผู้เห็น 100) ก็จะรู้ว่าโฆษณาเริ่มไม่น่าสนใจ ต้องปรับแล้ว

เมื่อระบบแจ้งเตือนว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยนสื่อโฆษณา เราก็สามารถทำได้ทันที ก่อนที่จะเกิดปัญหาตามมา ทั้งการถูกลูกค้าเบื่อ การเสียโอกาสในการขาย หรือเสียงบไปกับสิ่งที่ไม่คุ้มค่า

นี่คือหัวใจสำคัญที่ระบบอัตโนมัติจะเข้ามาช่วยให้เราสามารถดูแลแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีเวลาไปทำสิ่งสำคัญอื่นๆ เพื่อสเกลธุรกิจได้อย่างแท้จริง


การสร้างโฆษณาที่มีประสิทธิภาพด้วย 5W

การสร้างแอดให้เกิดยอดขายได้จริง ต้องอาศัยข้อความโฆษณาที่ชัดเจนและมีพลัง พาลูกค้าจากโลกโซเชียลมีเดียเข้ามาซื้อของเราได้ ซึ่งเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยกำหนดทิศทางการสื่อสาร คือ 5W Avatar ประกอบด้วย:

  1. Who – กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร
  2. What – เรากำลังเสนออะไรให้กับพวกเขา
  3. Why Emotional – เหตุผลด้านอารมณ์ความรู้สึกที่จะโน้มน้าวใจพวกเขา
  4. Why Functional – เหตุผลเชิงประโยชน์ใช้สอย คุณสมบัติ ฟีเจอร์ต่างๆที่จูงใจ
  5. Why Not – คลายข้อกังวล ข้อโต้แย้งในใจลูกค้า ให้เขารู้สึกว่าต้องซื้อให้ได้

นอกจากนี้เรายังต้องเข้าใจ 5 Stages of Awareness หรือ 5 ระดับการรับรู้ของลูกค้า ตั้งแต่:

  1. Unaware – ยังไม่รู้ตัวเลยว่ามีปัญหา
  2. Problem Aware – เริ่มตระหนักแล้วว่ากำลังเผชิญปัญหาบางอย่าง
  3. Solution Aware – เริ่มตามหาวิธีแก้ปัญหา ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยได้
  4. Product Aware – รู้จักแบรนด์ สินค้า บริการของเราแล้ว กำลังเปรียบเทียบตัวเลือก
  5. Most Aware – ลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าประจำ ที่เราต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป

สิ่งสำคัญคือการสร้างโฆษณาที่เข้าถึงลูกค้าในแต่ละสเตจให้ได้ กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจง ใช้ข้อความที่โดนใจ ตรงประเด็น สื่อสารประโยชน์ชัดเจน จนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด

เมื่อกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารได้แล้ว เราจะต้องมาออกแบบโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการสร้างแคปชันที่ชัดเจน คมคาย และคอนเทนต์ที่โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นๆ จนกลายเป็นโฆษณานางฟ้าที่สร้างยอดขายให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่องได้

นี่คือเป้าหมายหลักที่เราจะได้เรียนรู้ในเวิร์คช็อปนี้ เพื่อกลับไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยยกระดับจากการแก้แอดรายวัน ไปสู่การปรับแอดแบบมืออาชีพ ที่สร้างยอดขายให้เติบโตได้จริงครับ


การใช้ AI ช่วยสร้าง 5W Avatar เพื่อหากลุ่มเป้าหมาย

การทำ Buyer Persona หรือการเข้าใจลูกค้าของเราว่าเป็นใครนั้น สำคัญมากต่อการสร้างโฆษณาที่ตรงใจ แต่การทำครั้งแรกอาจจะยากและใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นในวันนี้ ผมจะแนะนำเครื่องมือ AI ตัวหนึ่งที่จะมาช่วยให้ทุกท่าน หากลุ่มเป้าหมายของสินค้าได้ง่ายขึ้น

AI ที่ว่านี้ชื่อว่า “Fighterbuild Avatar Creator” เป็นตัวที่ผมคัดสรรมาแล้วว่า เหมาะกับการนำมาใช้วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของการซื้อโฆษณาบน Facebook ในไทย ตามหลัก 5W ได้ดีที่สุด โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ 600 บาทเท่านั้น ถ้าทุกท่านโอเคกับการลองใช้ AI ตัวนี้ ช่วยพิมพ์ “โอเค” มาในคอมเมนต์ได้เลยครับ

เริ่มจากการวิเคราะห์คำถาม “Who” ก่อน สมมติว่าเราขายอาหารแมว แล้วต้องการรู้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักของเราในไทย ที่จะซื้อผ่านโฆษณา Facebook เป็นใครบ้าง AI จะสร้างโปรไฟล์เบื้องต้นขึ้นมาให้อย่างนี้:

  • ชื่อ เช่น คุณเจษฎาภรณ์ สีสวัสดิ์
  • อายุประมาณ 25-40 ปี
  • เป็นมืออาชีพหนุ่มสาวที่ทำงานออฟฟิศ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก
  • เป็นเจ้าของแมว อาจเป็นมือใหม่หรือเลี้ยงแมวอยู่แล้ว
  • ใช้เวลากับแมวของตน ค้นคว้าข้อมูลการดูแลสัตว์เลี้ยงออนไลน์ เข้าร่วมกลุ่มหรือกิจกรรมคนรักแมวในโซเชียล
  • นิสัยใส่ใจ รับผิดชอบ ยินดีลงทุนเพื่อให้แมวมีความสุข

จากข้อมูลนี้ ทำให้เรารู้แล้วว่ากลุ่มลูกค้าของเรา น่าจะใช้เวลาอยู่บนโซเชียลมีเดีย ติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับแมวเยอะ นี่คือโอกาสในการเข้าไปสื่อสารกับพวกเขาผ่านโฆษณาแล้ว

ต่อมาคือ What หรือสิ่งที่เราจะนำเสนอให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่ง AI บอกว่าควรเป็นอาหารแมวที่:

  • มีส่วนผสมคุณภาพสูง ให้สารอาหารที่ครบถ้วน
  • ผลิตในท้องถิ่น น่าเชื่อถือ ปลอดภัย
  • ใส่ใจความอร่อย กลิ่นหอม เนื้อสัมผัสดี
  • มีให้เลือกหลากหลายตามวัย สายพันธุ์ ขนาดแมว
  • บรรจุภัณฑ์สะดวกใช้ ปิดสนิท เก็บรักษาได้นาน
  • ราคาคุ้มค่า แต่ไม่ได้เน้นถูกที่สุด

จากนั้นต้องคิดต่อว่า จะใช้ Why ทั้งด้าน Emotional และ Functional อย่างไร ในการสื่อสารให้โดนใจพวกเขา รวมถึงแก้ Pain Point ต่างๆ ผ่าน Why Not อีกด้วย เมื่อเราสามารถกำหนดทิศทางคอนเทนต์แบบนี้ได้ ก็จะสามารถสร้างแผนโฆษณาในแต่ละสเตจของลูกค้าได้แล้ว เพื่อส่งต่อให้ AI ตัวนี้ช่วยออกแบบได้ตรงใจยิ่งขึ้น

ไม่เพียงแค่อาหารแมวนะครับ ผมจะยกตัวอย่างสินค้าอื่นๆ เพิ่มอีก เพื่อให้เห็นวิธีประยุกต์ใช้เทคนิคนี้ในหลากหลายธุรกิจ ทุกท่านสามารถนำไปปรับใช้กับสินค้าและบริการของตัวเองได้ทันที เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำ และวางแผนสื่อสารให้โดนใจพวกเขามากที่สุด นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างโฆษณาให้ปังและเปลี่ยนจากแก้แอดรายวัน มาเป็นปรับแอดรายสัปดาห์ให้ยอดโตต่อเนื่องอย่างที่เราต้องการครับ


การสร้างโฆษณาให้ตรงกับระดับการรับรู้ของลูกค้า

เมื่อเรามี 5W Avatar และเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการนำข้อมูลเหล่านี้ ไปสร้างโฆษณาที่สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงใจ ในแต่ละระดับการรับรู้ของพวกเขา ตั้งแต่ Unaware, Problem Aware, Solution Aware, Product Aware ไปจนถึง Most Aware

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราขายอาหารเสริมเพื่อความงาม ตอนนี้เราต้องการสร้างโฆษณาที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในระดับ Problem Aware คือคนที่รู้ตัวแล้วว่ากำลังมีปัญหาผิวที่ต้องแก้ไข

เราสามารถใช้ AI เพื่อช่วยออกแบบโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มนี้ได้ เช่นให้ AI สร้างโฆษณาตามโจทย์ว่า:

  • แบรนด์ – พิมพ์ใจ
  • หัวข้อ – ปลดล็อกผิวสวยใสด้วยพลังจากธรรมชาติ
  • ภาพหรือวิดีโอ – ภาพ Before-After ที่แสดงความแตกต่างของผิวหน้าอย่างชัดเจน
  • ข้อความโฆษณา – เน้นพูดถึงปัญหาผิวต่างๆ พร้อมนำเสนอ “พิมพ์ใจ” เป็นคำตอบ ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติที่ปลอดภัย ได้ผลไว ฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือริ้วรอย

ซึ่งโฆษณาชุดนี้ AI ออกแบบมาให้เราได้ตรงตามหลัก 5W และระดับ Problem Aware แล้ว โดยมุ่งเน้นกระตุ้นให้ลูกค้าตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาผิวของพวกเขาก่อน พร้อมนำเสนอตัวช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้น

จากนั้นในระดับถัดไป เราอาจจะพูดถึง Solution เพิ่มเติมให้ลึกขึ้น เช่น อาหารเสริมคืออีกทางเลือกที่ดีในการฟื้นฟูผิว นอกจากแค่การทาครีมภายนอกเท่านั้น

พอเข้าสู่ระดับ Product Aware เราก็จะเจาะจงมาที่สินค้าของเรา โดยอาจจะใช้การเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่น ชูจุดเด่นของสารสกัด ผลลัพธ์จากผู้ใช้จริง หรือโปรโมชันพิเศษ เพื่อดึงดูดให้มาลองใช้

ส่วน Most Aware ก็คือลูกค้าปัจจุบันของเราแล้ว ซึ่งเราต้องสื่อสารเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป

การออกแบบโฆษณาแบบนี้ จะทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ทุกระดับความพร้อมในการซื้อ ไม่ใช่แค่คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปัญหาผิว เราก็สามารถไปกระตุ้นเขาได้ตั้งแต่ต้น และดึงให้เขาเดินทางมาในกรวยการขายของเราได้ในที่สุด

นี่คือกลยุทธ์การทำ Facebook Ads อย่างเป็นระบบ ด้วยการวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้น และมีเครื่องมือ AI เข้ามาช่วยให้ทุกอย่างง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น


ใช้ AI ตรวจสอบโฆษณาตามนโยบายของ Facebook

นอกจากจะใช้ AI ช่วยสร้างข้อความโฆษณาและ Brief ภาพให้กราฟิกแล้ว เรายังสามารถนำ AI มาช่วยตรวจสอบแอดของเราว่าสอดคล้องกับนโยบายของ Facebook หรือไม่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้แอดโดนปิดหรือโดนลงโทษโดยไม่จำเป็น

ผมจะยกตัวอย่างให้ดูครับ ว่าเราสามารถเทรน AI อย่าง ChatGPT ให้คอยตรวจสอบข้อความโฆษณาของเรา โดยอัพโหลดไฟล์นโยบายโฆษณาของ Facebook ให้มันเรียนรู้ไว้ จากนั้นก็แค่สั่งให้มันตรวจแคปชันที่เราสร้างมา ว่ามีจุดไหนที่อาจจะขัดกับนโยบายบ้าง พร้อมแนะนำวิธีการแก้ไขด้วย

เช่นสมมติว่าเรามีแคปชันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมความงาม ที่มีประโยคแบบนี้

“เบื่อไหมกับปัญหาผิวที่ไม่จบไม่สิ้น ผิวไม่เรียบเนียน จุดด่างดำ หรือริ้วรอยที่คอยกวนใจแต่ละวัน คือการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ”

เมื่อเราให้ AI ตรวจ มันจะบอกเราว่าประโยคนี้อาจถูกตีความเป็นการอวดอ้างผลลัพธ์เกินจริง และคำว่า “แต่ละวันคือการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ” อาจเข้าข่ายผลลัพธ์ที่เกินจริงเช่นกัน แล้ว AI จะช่วยแนะนำวิธีแก้ไขประโยคใหม่ให้เราอัตโนมัติ เช่น

“อยากมีผิวสวย สุขภาพดี พิมพ์ใจนำเสนออาหารเสริมบิวตี้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารบำรุงผิว ช่วยฟื้นบำรุงจากภายในสู่ภายนอก เห็นผลได้จริง ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง”

ซึ่งแคปชันใหม่นี้ ได้ปรับข้อความให้สอดคล้องกับนโยบายมากขึ้น โดยไม่อวดอ้างผลลัพธ์ที่เกินจริง แต่ยังคงสื่อสารประโยชน์ของสินค้าได้อย่างชัดเจน

นี่คือตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถประยุกต์ใช้ AI มาช่วยเราได้แทบทุกขั้นตอนของการทำโฆษณาเลยครับ ซึ่งผมจะทำคู่มือวิธีการโดยละเอียดไว้ให้ทุกท่านหลังจากจบคอร์สนี้ เพื่อให้สามารถเอาไปใช้งานได้จริง

การบ้าน: เตรียมสื่อโฆษณาให้ครบทุกระดับการรับรู้

หลังจากที่เราได้เรียนรู้แนวคิดเรื่อง 5W Avatar และ 5 Stages of Awareness กันไปแล้ว การบ้านของเราก็คือลองนำไปประยุกต์ใช้กับสินค้าของตัวเอง โดยใช้ไฟล์ Board ที่ผมจะแชร์ไว้ให้ ซึ่งผมจะให้ทุกท่านได้คนละ 1 Board เป็นของตัวเอง

ให้ลองกรอกข้อมูลตามหัวข้อ Who, What, Why ต่างๆ และใช้ AI ช่วยสร้างแคปชัน พร้อมภาพประกอบ ให้ครบในทุกช่องนะครับ เราจะได้ชุดสื่อโฆษณาที่พร้อมใช้งาน ซึ่งในคู่มือจะมีอธิบายวิธีการทำแบบละเอียดอีกครั้ง

เมื่อทำเสร็จแล้ว สามารถส่งมาให้ผมดูและให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้ เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะได้มีชุดโฆษณาที่พร้อมใช้ และเรียนรู้เรื่องการลงมือทำแอดกันแบบจริงจังต่อไป

เป็นอย่างไรบ้างครับกับเนื้อหาในวันนี้ หวังว่าทุกท่านจะเห็นภาพแล้วว่า วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้การสร้างโฆษณาบน Facebook ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นยังไง


สรุปเนื้อหาสำคัญของวันนี้ได้ดังนี้ครับ

  1. 5W Avatar คือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและสร้างตัวแทนลูกค้า (Persona) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสื่อสารการตลาดและโฆษณาของเรา ประกอบด้วย Who (กลุ่มเป้าหมายคือใคร), What (เราจะนำเสนออะไรให้พวกเขา), Why (ทำไมพวกเขาถึงควรสนใจ ทั้งในแง่อารมณ์และเหตุผล) และ Why Not (เราจะคลายข้อกังวลอย่างไร)
  2. 5 Stages of Awareness คือ 5 ระดับการรับรู้ของลูกค้า ตั้งแต่ Unaware (ไม่รู้ว่ามีปัญหา), Problem Aware (รับรู้ว่ามีปัญหาแล้ว), Solution Aware (รู้ว่ามีวิธีแก้ปัญหา), Product Aware (รู้จักสินค้าของเราแล้ว) และ Most Aware (เป็นลูกค้าประจำแล้ว) ซึ่งในแต่ละระดับ เราต้องสื่อสารกับลูกค้าแตกต่างกันไป
  3. เราสามารถใช้ AI มาช่วยสร้าง 5W Avatar, ออกแบบข้อความโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละ Stage, สร้างสคริปต์วิดีโอ และอื่นๆ เพื่อให้การสร้างโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็สามารถปรับแก้ได้หากผลลัพธ์ยังไม่ตรงใจเรา 100%
  4. การบ้านคือการนำเครื่องมือเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับสินค้าของตัวเอง โดยกรอกข้อมูลลงในบอร์ด Miro ที่จะแชร์ให้ เพื่อเตรียมแผนโฆษณาให้พร้อมสำหรับทุก Stage แล้วส่งให้อาจารย์ตรวจ
  5. ส่วนเรื่องการผลิตวิดีโอโฆษณาด้วย AI นั้น จะมีเป็น Bonus Session เพิ่มเติมให้ภายหลังครบ 3 วันของ Challenge นี้แล้ว

หากมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 5W Avatar และ 5 Stages สามารถสอบถามได้ทันที ก่อนที่จะไปลงมือทำการบ้าน โดยทางทีมจะคอยช่วยเหลือและตรวจสอบให้ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าใจและพร้อมสำหรับวันต่อไป

แล้วเจอกันใหม่ในวันพรุ่งนี้เวลาเดิมนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วม Challenge กันมาถึงตอนนี้ สวัสดีครับ